วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ทรงผมเก๋ๆหลายสไตล์












                                                                         
























ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.youtube.com

Make up : Everyday look

































ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.youtube.com

7 ท่าบริหารลดหน้าท้องให้แบนราบ

7 ท่าบริหารลดหน้าท้อง

Routine ท่าบริหารลดหน้าท้องที่เอามาโพสวันนี้ แม้จะไม่ใช่คาถาพิเศษที่เห็นผลในหนึ่งวัน อาจจะเจ็บและท้อ แต่ด้วยความพยายาม มันจะต้องเห็นผลค่ะ
  • สำหรับทุกคนที่อยากจะลดหน้าท้อง/สุขภาพแข็งแรงขึ้น และมีความตั้งใจ พร้อมที่จะทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
  • สาวๆที่รักในหน้าตาและหุ่นของตัวเองอยู่แล้ว เริ่ดค่ะ ขอชมจากใจ ฮาวทูนี้ก็ดูเล่นขำๆแล้วกันเนอะ 
  • นี่เป็นroutineของพลอย ที่ปรับลงมาเพื่อทุกคนที่เริิ่มต้น อาจจะมีผิดบ้าง ทำท่าไม่ถูกอะไรยังไง บอกพลอยได้นะคะ
BIKINIbody: MISSION BEGIN
  • ก่อนเริ่มออกกำลังกาย ยืดเส้นก่อนนะคะ ยิ่งนานยิ่งดี พลอยทำ 10-15นาทีค่ะ นานกว่านี้ก็ดีเป็นการเตรียมกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายที่ดี ป้องกันอาการบาดเจ็บต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้
  • วอร์มอัพ แอโรบิค 20นาทีค่ะ ณ ที่นี้ พลอยวิ่งเหยาะๆต่อเนื่องจนครบเวลา
THE CORE ROUTINE
ชี้แจง : 3x20 reps แปลว่า ทำซ้ำกัน 3เซ็ท เซ็ทละ20ครั้ง ,, ถ้า 3x1min คือ 3เซ็ท เซ็ทละ1นาทีนะคะ

มาต่อกันที่ท่าบริหารหน้าท้องกันค่ะ

1. บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านข้าง 3x20 reps

นำมือมาประกบกันเหนือหัว แขนเหยียดตรง เหมือนจรวด (ฮ่าาๆ) แล้ว*ค่อยๆ*เอนซ้าย-ขวา สลับกัน
2.ซิทอัพ (Crunch) 3x50 reps

เริ่มด้วยการนอนราบ ขาเหยียดตรง90องศา แล้วทำซิทอัพ ขึ้้นช้าๆ พอขึ้นมาแล้วค้างไว้ 1วิแล้วลงช้าๆค่ะ
3. PLANK & SIDE PLANK 3x1min each

ท่าลดหน้าท้องนี้ชื่อคุ้นๆ หรือเปล่าเอ่ย ฮ่าๆๆ ทำแพลงค์โดยให้ตัวเป็นเส้นตรง ค้างไว้ 1 นาทีทั้งด้านหน้าและด้านข้างค่ะ อย่างอหลังนะคะ เดี๋ยวจะปวดเอา แล้วก็อย่าทำหลังโก่งๆ ด้วย เพราะมันจะไม่ช่วยมากนะคะ
4.ยกขาคู่ ขึ้นลง บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านล่าง 3x20 reps 

รู้สึกท่านี้จะเรียกว่า HIP LIFT นะคะ ดังรูปเลยค่ะ ค่อยๆยกขึ้น-ลงช้าๆ พอลงแล้วขาไม่ต้องแตะพื้น แต่ค้างไว้5วินาที แล้วยกขึ้นช้าๆ ทำซ้ำ
5. Squat 3x1min / 3x20 reps

ท่าลดหน้าท้องแบบนั่งชักโครก อายเหลือเกินนนนน !! ทำเหมือนมีเก้าอี้ล่องหนอยู่แล้วค่อยๆนั่งลงไป แขนยืดตรง หลังตรง (ท่าเริ่มต้นคือยืนตรง เท้าชี้ตรง shoulder width นะคะ) สำหรับท่านที่ไม่อยากลุกๆ นั่งๆ ก็นั่งค้างเลยค่ะเซ็ทละ 1 นาที
6. AIR BIKE 3x20 reps

จักรยานหรรษา คล้ายๆซิทอัพค่ะ แต่ขาเราจะลอยตลอด พอซิทขึ้นมาแล้วเอาศอกซ้ายแตะเข่าขวา ศอกขวา แตะเข่าซ้ายสลับกัน ทำช้าๆ ค่ะ
7. BRIDE 3x1.5min

ลดหน้าท้องด้วยท่านี้ง๊ายง่ายเริ่มจากนอนราบ แล้วยกก้นขึ้นมาค่ะ หลังตรง ค้างไว้ 1 นาทีครึ่ง
        การออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าทุกคนแบ่งเวลาและอดทน เพื่อให้ตัวเองมีสุขภาพที่แข็งแรงและรูปร่างที่ดี ไฟต์ติ้งนะคะสาวๆทุกคน!!

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://women.sanook.com/

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

10 วิธี การแต่งตัวแนววินเทจยังไงให้ชิคเว่อร์



10 วิธี การแต่งตัวแนววินเทจยังไงให้ชิคเว่อร์


แต่งตัวแนววินเทจ
        สาววินเทจห้ามพลาด!! กับ ขั้นตอนง่ายๆ ในการแต่งตัวแนววินเทจที่จะช่วยให้เรา Mix and Match เสื้อผ้าแนววินเทจให้น่ารัก และมีสไตล์แบบสุดๆ ก่อนที่เราจะแต่งตัวสไตล์ “วินเทจ” กันนั้น เรามาทำความเข้าใจ “หลักการแต่งตัวสไตล์วินเทจ” กันเถอะ
1. สาวๆ ต่องเลือกไอเทมเก๋ๆ จากหลายๆ ยุคมา Mix and Match กัน
        สไตล์การแต่งตัวแนววินเทจนั้น ไม่ได้มีการคอนเฟิร์มที่แน่ชัดว่า ต้องใช้เสื้อผ้าแบบไหน หรือต้องแต่งแบบไหนถึงจะเรียกว่า “วินเทจ” เพราะโดยส่วนมากแล้ว เสื้อผ้า หรือของที่เรานำมาแต่งตัวแนววินเทจ ส่วนใหญ่มากจากยุค 80’s หรือเห่ากว่านั้น
        ช่น ยุค 20’s ไอเทมที่ฮิตเว่อร์ ที่ทุกคนต้องใส่ ชุดเดรส Flapper คือชุดเดรสทรงตรง แบบไม่เข้ารูป มีปักหมุด หรือ เลื่อมวิบวับ
        ยุค 60’s – 70’s ยุคฮิปปี้ เสื้อเชิ้ตลายลูกน้ำ กางเกงขาม้า หรือลาย Peace สันติภาพในเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ
แต่งตัวแนววินเทจ
2. Mix and Match ของวินเทจกับของโมเดิร์น
        เราอยู่ในยุคสมัยใหม่ที่มีเสื้อผ้าหลากหลายสไตล์ให้เลือกแต่งกันอย่างมากมาย ทำไมเราไม่ลอง Mix and Match การแต่งตัวแนววินเทจผสมกับไอเทมเริ่ดๆ ที่มีความเป็นโมเดิร์นในยุคสมัยนี้ เช่น สาวๆ ที่มีเสื้อสุดแสนจะวินเทจตัวนึง แทนที่จะไปใส่กับกางเกงทรงวินเทจ แต่ใส่กับกางเกงยีนส์สกินนี่แทน เก๋ไม่เบานะเธอ หรือจะเป็นกระโปรงเอวสูงทรงวงกลมยาวเท่าเข่ากับเสื้อยืดลายทางหรือเสื้อเชิ้ตยีนส์ ก็เป็นลุควินเทจแบบน่ารักที่ผสมไปด้วยกลิ่นอายความเป็นโมเดิร์น
แต่งตัวแนววินเทจ
แต่งตัวแนววินเทจ
3. อย่าสวมชุดวินเทจที่อยู่ในสภาพดูไม่ได้เด็ดขาด!!
        เมื่อพูดถึงเสื้อผ้าแนววินเทจ ทุกคนมักจะนึกถึงเสื้อผ้าเก่า เสื้อผ้ามืสอง แต่ไม่ใช่ว่าเสื้อมือสองทุกตัวมันจะโอเค และอยู่ในสภาพที่ดีเสมอไป ดังนั้นก่อนที่เราจะเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสอง เราต้องดูให้ละเอียดก่อนะ เช่น ดูรอยเปื้อน ขาด หรือพังตรงไหนมั้งอ่ะป่าว
4. มี “เสื้อแนววินเทจ” ไว้ติดตู้เสื้อผ้าสักนิดก็จะดีนะ
        เสื้อแนววินเทจ เป็นอะไรที่สวมใส่ง่ายที่สุด เมื่อสาวๆ เริ่มเข้าสู่โลกแห่งวินเทจ ในปัจจุบันการ Mix and Match เสื้อแนววินเทจ กับกางเกงสกินนี่ แล้วใส่เครื่องประดับต่างๆ เข้าไปอีกนิด หรือสาวๆ จะสวมเสื้อคาร์ดิแกนทรงวินเทจ หรือแจ็คเก็ตทรงวินเทจก็ดูเก๋ ไม่มีเอ้าท์

        ข้อสำคัญ
 ** ถ้าสาวๆ ยังใหม่ กับการแต่งตัวสไตล์นี้ ควรหลีกเลี่ยง เสื้อผ้า สีสันจี๊ดจ๊าดจากยุค 70’s – 80’s ก็เพราะว่า เสื้อผ้าจากยุคเหล่านี้ยังถือว่าไม่เก่ามาก อีกทั้งยังดูเอ้าท์ๆ ในยุคของเรา เพราะงั้นถ้าไม่แม่นจริง อย่าลองเด็ดขาด
แต่งตัวแนววินเทจ
แต่งตัวแนววินเทจ
5. ลองหากระโปรงแนววินเทจ ที่เป๊ะ เริ่ด เหมาะกับสาวๆ สักตัว
        กระโปรงเป็นไอเทมที่เรียกได้ว่า สวมใส่ให้ เป๊ะเว่อร์ ได้ง่ายสุดๆ กระโปรงแนววินเทจ โดยทั่วไปแล้วแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ยาวถึงตาตุ่ม และพริ้วไสว แบบที่ 2 คือแบบยาวถึงเข่า ในท้องตลาดตอนนี้มี กระโปรงแนววินเทจ ให้สาวๆ เลือกเยอะแยะมากมาย ลองเลือก กระโปรงทรงวงกลม หรือกระโปรงทรงเอ แบบฟูฟ่องเหมือนกระโปรงบัลเล่ต์ลองมาใส่ดูนะ
        กระโปรงแนววินเทจ มีหลากหลายโทรนสีให้สาวๆ ได้เลือกกัน แต่สีที่เราอยากจะแนะนำก็คือ สีโทนธรรมชาติๆ อย่างสี ดำ เทา น้ำตาล ครีม และเขียวมะกอกนั้นเหมาะอย่างยิ่งที่จะมีไว้ในตู้เสื้อผ้าของคุณ
แต่งตัวแนววินเทจ
แต่งตัวแนววินเทจ
แต่งตัวแนววินเทจ
6. ลอง Mix and Match เสื้อแนวอื่นๆ กับกางเกงวินเทจ
        กางเกงวินเทจที่จะเหมาะกับเราสักตัวนั้นค่อนที่จะหายาก เพราะด้วยไซส์ของกางเกงที่เปลี่ยนไปอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้หาไซส์กางเกงที่พอดีกับสาวๆ ยุคนี้ค่อนข้างยาก แต่ถ้าคุณได้เจอ กางเกงวินเทจดีๆ สักตัวที่สาวๆ ใส่แล้ว เป๊ะ อย่าได้ลังเลที่จะซื้อกางเกงตัวนั้นมาประดับตู้เสื้อผ้าเลยนะ ลองจับคู่ กางเกงวินเทจเข้ากับเสื้อที่ค่อนข้างโมเดิร์นหน่อย อย่างเช่น เสื้อยืดธรรมดาๆ หรือเสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมตัวโคร่ง หรือปรับลุคให้หวานขึ้นด้วย เสื้อลูกไม้
แต่งตัวแนววินเทจ
แต่งตัวแนววินเทจ
7. ชุดเดรสวินเทจ ไอเทมเด็ดที่ขาดไม่ได้
        ในบรรดาเสื้อผ้าแนววินเทจ “ชุดเดรสวินเทจ” เป็นอะไรที่คนนิยมใส่มากที่สุดแล้ว เพราะมีให้เลือกเยอะมากกว่า เสื้อผ้าแนววินเทจแบบอื่นๆ อีกทั้งยังนำมามิกซ์ กับเครื่องประดับได้ง่ายอีกด้วยชุดเดรสที่มีสีสันสดใส ลวดลายนิดๆ หรือชุดเดรสเนื้อผ้าดีๆ เหมาะอย่างยิ่งกับ รองเท้าบูท รองเท้า Flats และรองเท้า Sandals ถ้ามีหมวก Beanie สักใบ แล้วก็เครื่องประดับสไตล์โมเดิร์น ก็นำมามิกซ์กันได้อย่างลงตัวเลยแหละ ขอบอก!!
แต่งตัวแนววินเทจ
แต่งตัวแนววินเทจ

แต่งตัวแนววินเทจ
8. เพิ่มความเก๋ด้วย หมวกแนววินเทจ หรือผ้าพันคอ
        ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ชอบแต่งตัวจัดๆ เยอะๆ แต่อยากเพิ่มความสนุกให้กับการแต่งตัวละก็ ลองมิกซ์เสื้อผ้ากับหมวกแนววินเทจ หรือผ้าพันคอ ยิ่งตอนนี้หมวกแนววินเทจหาง่ายกว่าแต่ก่อนเยอะ มีทั้งแบบมือสอง และ มือหนึ่งที่นำเอาหมวกแนววินเทจมาทำใหม่ อย่างเช่น หมวกปีกกว้าง ส่วนผ้าพันคอไหมพิมพ์ลาย ยังเป็นไอเทมที่ฮิตเรื่อยๆ นอกจากจะเอามาพาดไหล่ได้แล้ว ยังสามารถโพกหัวเก๋ๆ ได้อีกด้วย
แต่งตัวแนววินเทจ
แต่งตัวแนววินเทจ

แต่งตัวแนววินเทจ
9. เครื่องประดับวินเทจ ไม่มีวันเอ้าท์
        เครื่องประดับ เป็นสิ่งที่คงอยู่กับ สไตล์การแต่งตัวต่างๆ มาตลอด เพราะงั้นสาวๆ สามารถสวมใส่เครื่องประดับวินเทจได้เรื่อยๆ เครื่องประดับที่เหมาะกับเสื้อผ้าแนววินเทจ คือ เครื่องประดับที่เน้นงานอลังความใหญ่เว่อวังสุดๆ เช่น ต่างหูใหญ่ๆ สร้อยคอใหญ่ๆ เป็นต้น แต่เน้นเครื่องประดับที่มีชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวพอนะ อย่าใส่เครื่องประดับใหญ่ๆ หลายๆ ชิ้นพร้อมกันนะ มันจะทำให้เราดูเยอะ ไม่สวยเอาได้ เช่น ถ้าสาวๆ อยากใส่สร้อยคอใหญ่ๆ เว่อวังแล้วล่ะก็ งั้นต้องห้ามต่างหูที่ใหญ่
แต่งตัวแนววินเทจ
10. รองเท้า ไอเทมเด็ดอีกชิ้นหนึ่งที่ขาดไม่ได้
        รองเท้าแนววินเทจ เป็น 1 ในไอเทม ที่สามารถเปลี่ยนให้ลุคธรรมดาๆ ของสาวๆ กลายเป็นแนววินเทจได้ทันที การหารองเท้าแนววินเทจดีๆ แล้วมีไซส์ที่พอดีเป๊ะ สักคู่อาจเป็นเรื่องยากหน่อย เพราะงั้นหากต้องการ รองเท้าแนววินเทจสักคู่ให้ลองดูรองเท้าคลาสสิคๆ อย่างเช่น รองเท้าบูทผูกเชือก หรือรองเท้า Oxford รองเท้าทั้งสองแบบนี้จริงๆ แล้วเหมาะกับการแต่งตัวทุกสไตล์เลยแหละ เลือกสีที่เป็นโทนธรรมชาติและทำมาจากหนังคุณภาพ เพื่อเติมเต็มลุคให้แก่สาวๆ
แต่งตัวแนววินเทจ

แต่งตัวแนววินเทจ
แต่งตัวแนววินเทจ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://lifestyle.campus-star.com/

13 วิธีรักษาผิวแตกลาย & ลดรอยแตกลายอย่างได้ผล !!


ผิวแตกลาย

เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนคงเคยประสบปัญหาหนักอกหนักใจกันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะสตรีหลังคลอดบัตร บางคนเครียดจนถึงกับไม่กล้าสวมชุดว่ายน้ำที่เคยใส่ เพราะไม่อยากเปิดโชว์ส่วนของผิวที่แตกลาย และต้องไปเสียเงินเพื่อซื้อชุดใหม่ที่ปกปิดผิวมิดชิดมากขึ้นกว่าเดิม
การรักษาด้วยครีมแก้ผิวแตกลายนั้นอาจช่วยทำให้ดูจางลงได้บาง แต่จะไม่หายไปอย่างถาวร ถ้าต้องการให้รอยแตกลายหายอย่างถาวรจะต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการรักษาด้วยวิทยาการสมัยใหม่โดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นการยิงเลเซอร์และการทำคาร์บ็อกซี่ก็ทำให้รอยแตกลายดูจางลงได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทำแล้วก็ต้องทาครีมต่อไปจนเป็นนิสัยอยู่ดี

สาเหตุของผิวแตกลาย

ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย เป็นรอยที่สังเกตได้ง่าย หรือที่ทางการแพทย์เรียกกันว่า “Stretch marks” หรือ “Striae” ซึ่งเป็นแผลชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังและมีสีที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับผิวหนังส่วนอื่น โดยสาเหตุนั้นเกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ ผิวหนังเกิดการยืดขยายตัวอย่างรวดเร็วของผิวหนังบริเวณนั้น ๆ ซึ่งผิวแตกลายนั้นจะเกิดขึ้นที่ผิวหนังชั้นกลาง และมักจะเกิดในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น บริเวณหน้าท้อง หน้าอก เต้านม สะดือ ต้นแขน ต้นขา สะโพกและน่อง คนส่วนใหญ่จึงมักเจอปัญหานี้ในตอนเด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น เพราะเป็นวัยกำลังกินกำลังโต หรือเกิดจากการมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วจนผิวหนังขยายตามไม่ทัน อย่างในวัยรุ่นที่โตเร็วหรืออ้วนมากเกินไป หรือในกลุ่มนักกีฬาเพาะกายที่มวลกล้ามเนื้อโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงกลุ่มคนที่ลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว และปัญหาผิวแตกลายในสตรีตั้งครรภ์มากถึง 90% เพราะครรภ์โตจนทำให้หน้าท้องและขาอ่อนแตกลาย ส่วนสาเหตุอื่น ๆ นั้นก็อาจเกิดจากโรคบางชนิด เช่น โรคตับอักเสบเรื้อรัง โรค Marfan Syndrome เป็นต้น และเกิดจากการใช้ยาทาหรือยารับประทานในกลุ่มของสเตียรอยด์มาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นยาหม้อ ยาลูกกลอน ซึ่งชาวบ้านชอบกินกันมาก เพราะเข้าใจว่าเป็นสมุนไพรไม่มีพิษมีภัยอะไร
อาการเริ่มแรกของผิวแตกลาย คือ ผิวหนังจะเกิดรอยเป็นเส้นสีแดงหรือม่วง (ระยะแรก) และจะมีสีอ่อนลงเรื่อย ๆ จนเป็นสีขาวขุ่น(ระยะหลัง) การรักษาในระยะแรกถ้าทาครีมเป็นประจำลายแตกก็อาจจะหายได้ทัน ดังนั้นคุณจึงต้องหมั่นสังเกตผิวกายของตัวเองอย่างสม่ำเสมอด้วย คราวนี้มาดูกันเลยดีกว่าว่าเราจะมีวิธีรักษารอยแตกลายบนผิวนี้ได้อย่างไร…

ลักษณะของรอยแตกลาย

คำว่า Striae นั้นแปลว่า ร่อง หรือ ลายเส้นขนาน ชื่ออื่น ๆ ของผิวแตกลายนอกจากจะที่ใช้ว่า Striae แล้ว ในบางครั้งยังอาจเรียกว่า
Striae distensae เป็นลายเส้นขนานจากการยืด
Striae-distensae
Striae atrophicans เป็นลายเส้นขนานที่มีลักษณะผิวฝ่อ
Striae-atrophicans
Striae rubra เป็นลายเส้นขนานที่มีสีแดง
Striae-rubra
Striae alba เป็นลายเส้นขนานที่มีสีขาว
Striae-alba

วิธีลดรอยแตกลาย

  1. ดูแลตัวเองให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการ หันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายนอกจากจะช่วยทำให้รูปร่างของเราดูดีและผิวมีความยืดหยุ่นแล้ว ยังช่วยทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเกิดความสมดุลและช่วยลดการเกิดปัญหาผิวแตกลายได้อีกด้วย, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินเอ, แร่สังกะสี (แครอท, ฟักทอง, ตำลึง, มะละกอ, กวางตุ้ง, ผักบุ้ง), วิตามินซี, วิตามินดี (นม, เนย, ตับ, ปลาแซลมอน), โปรตีน (เนื้อสัตว์ต่าง ๆ) เป็นต้น และพยายามควบคุมอาหารให้ได้ ไม่ตามใจปาก แต่ถ้าอยากเห็นผลไว้ขึ้นก็แนะนำให้หาวิตามินเสริมมากินครับ อย่างวิตามินซีวันละ 500-1,000 มิลลิกรัม เพื่อช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน, ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว (แต่สำหรับบางคนที่มีผิวหนังแห้งและผนังชั้นขี้ไคลเสื่อม การดื่มน้ำมาก ๆ ก็ไม่ด้วยช่วยเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้) และพยายามหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มจำพวกชาและกาแฟ, ไม่อบน้ำอุ่นและไม่เกาผิวเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ผิวแห้งและแตกลายมากยิ่งขึ้น, พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างวัยรุ่น ผู้ออกกำลัง และหญิงตั้งครรภ์ (ยิ่งผู้หญิงที่รู้ตัวว่ากำลังตั้งครรภ์ ก็ควรจะหาครีมทาไว้แต่เนิ่น ๆ เพราะถ้ารอให้ผิวแตกลายเมื่อไหร่ จะหาครีมมาโบกเท่าไหร่มันก็ยากที่จะกลับมาเหมือนเดิม) เป็นต้น
  2. ทาครีมบำรุงเป็นประจำ เป็นวิธีรักษารอยแตกลายวิธีแรก ๆ ที่ทุกคนนึกถึง โดยให้เน้นการทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นสูงในบริเวณผิวแตกลายทุกวันเป็นประจำก่อนนอนและในตอนเช้า หรือทาทุกครั้งหลังอาบน้ำ เพื่อช่วยลดและป้องกันการเกิดรอยแตกลายที่ผิวหนัง และอย่าปล่อยให้บริเวณที่ผิวแตกลายแห้งเป็นขาด !! มิฉะนั้นมันอาจจะลุกลามกว้างขึ้นมากกว่าเดิมก็ได้ และทุก ๆ ครั้งที่ทาให้พยายามทาครีมและนวดผิวย้อนรอยขึ้นไปด้วย
    การรักษารอยแตกลาย
  3. ครีมลดรอยแตกลาย ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นการหันมาใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับลดรอยแตกของผิวหนังโดยเฉพาะก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แม้การใช้ครีมรักษารอยแตกลายจะไม่ทำให้รอยแตกลายหายไปได้อย่างถาวร แต่มันก็สามารถช่วยป้องกันและทำให้รอยแตกลายดูจางลงได้อย่างน่าพอใจ ส่วนผลิตภัณฑ์ตัวไหนจะได้ผลดีที่สุดนั้นต้องลองถามเภสัชกรประจำร้านขายยาดูได้เลยครับ หรือถ้าไม่มั่นใจจริง ๆ ว่าครีมที่ใช้จะเหมาะกับเราและได้ผลจริงหรือไม่ คุณอาจจะปรึกษาแพทย์ผิวหนังดูก็ได้ โดยยาที่แพทย์มักจะจ่ายมามักจะมีส่วนผสมของวิตามินเอเพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและความยืดหยุ่นในผิว และครีมที่มีส่วนผสมของกรดเอเอชเอ (AHA)
    สูตรน้ำมันจากธรรมชาติ ที่แนะนำเป็นอันดับแรกคือ “น้ำมันงา” ให้คุณใช้น้ำมันงานำมาทาผิวบริเวณที่เป็นรอยแตกเป็นประจำ โดยให้ชโลมทาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เพราะน้ำมันงานั้นมีชื่อเสียงมากในด้านการบำรุงผิว ที่สามารถช่วยทำให้ผิวที่เคยแห้งกร้านกลับมาดูสดใสมีน้ำมีนวลได้อีกครั้ง หรือถ้ามีน้ำมันมะกอกก็ให้นำไปอุ่นจนเกือบร้อนแล้วนำมานวดวนบริเวณผิวที่แตกลาย ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วค่อยล้างออก ส่วนน้ำมันอื่น ๆ ที่สามารถช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและป้องกันผิวแตกลายได้ก็มีอีกหลายชนิด เช่น น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันละหุ่ง, น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันอะโวคาโด, น้ำมันอัลมอนด์, น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ เป็นต้น
  4. สูตรสมุนไพรลดรอยแตกลาย อย่างสูตรแรกที่แนะนำก็คือ “ว่านหางจระเข้” ให้คุณใช้วุ้นสีขาวจากว่านหางจระเข้ที่ล้างยางออกแล้ว นำมาทาบริเวณผิวแตกลายเป็นประจำทุกเช้าและเย็น ซึ่งจะช่วยทำให้รอยแตกลายนั้นค่อย ๆ ดูจางลงได้ ส่วนอีกวิธีนั้นให้คุณใช้เฉพาะน้ำเมือกจากใบสดว่านหางจระเข้ 1 ส่วน นำมาผสมกับครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิวของเราอีก 5 ส่วน จากนั้นก็นำมาใช้ทาผิว โดยผสมพอใช้ในแต่ละครั้ง ถ้าจะใช้อีกครั้งก็ให้ผสมใหม่ทุกครั้ง หรือถ้าไม่มีว่านหางจระเข้ เราอาจใช้ใบบัวบกแทนก็ได้ ด้วยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นนำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้าและเย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อย ๆ จางลงได้เช่นกัน ส่วนอีกวิธีนั้นให้ใช้มันฝรั่งสด 1 หัว นำมาปอกเปลือกออกแล้วบดให้ละเอียด ใช้ทาบริเวณที่ผิวแตกลาย ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด แต่จะใช้ได้ผลเฉพาะผิวกับที่เริ่มแตกลายเท่านั้น นอกจากนี้คุณยังสามารถนำไข่ขาวมามาส์กผิวบริเวณที่เป็นรอยแตกลายได้อีกด้วย
    วิธีรักษาผิวแตกลายแบบธรรมชาติ
  5. การขัดหรือสครับผิว เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปและกระตุ้นเซลล์ผิวหนังใหม่ให้ขึ้นมาทดแทนผิวเดิมได้ ในระหว่างอาบน้ำก็ให้ใช้ใยบวบขัดผิวไปด้วย ถ้าจะให้ดีก็ลองหาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารสกัดมาจากธรรมชาติและมีประสิทธิภาพในการซึมซาบสู่ผิวได้ดี นำมาใช้ขัดหรือสครับผิวบริเวณที่มีปัญหา โดยแนะนำให้ทำเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นก็จะอาจใช้สูตรสครับผิวทำเองจากธรรมชาติก็ได้ เช่น
    • สูตรมะนาว หลายคนใช้สูตรนี้แล้วได้ผล คือการใช้น้ำมะนาวและดินสอพองมาผสมกันแล้วใช้ทาบริเวณผิวแตกลาย ซึ่งน้ำมะนาวจะมีฤทธิ์เป็นกรดแบบธรรมชาติที่ช่วยลดปัญหาผิวแตกลายได้ และยังช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้อาการแตกลายบนผิวหายจางลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย
    • สูตรขมิ้นผสมมะขาม ให้นำขมิ้นและมะขามมาผสมกันแล้วใช้ขัดนวดผิว ขมิ้นนั้นมีเคอคูมินที่ทำให้ผิวขาว ส่วนมะขามนั้นมีกรดเอเอชเอที่ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิว
    • สครับน้ำตาล อีกวิธีที่ทำได้ง่ายและสะดวกสุด ๆ เพียงแค่คุณหยิบน้ำตาลมาผสมกับน้ำอัลมอนด์และน้ำมะนาว จากนั้นก็นำส่วนผสมที่มาขัดผิวที่แตกลาย ก็จะช่วยแก้ปัญหาผิวแตกลายได้แล้วล่ะ
  6. ยาทาแก้ผิวแตกลาย ซึ่งเป็นยาทาในกลุ่มอนุพันธ์กรดวิตามิเอ ที่แนะนำให้ใช้คือ เรตินเอ (Retin A) ให้เลือกใช้ความเข้มข้น 0.025% หรือ 0.05% (ถ้าเข้มข้นมากกว่านี้เดี๋ยวแสบ) หลังจากอาบน้ำเสร็จให้ขัดหรือสครับผิวก่อน แล้วเช็ดตัวให้แห้ง รอให้แห้งสนิทซักประมาณ 10 นาที บีบเรตินเอใส่นิ้วมือแล้วนำมาทาบริเวณผิวที่เป็นรอยแตก แบบไม่ต้องลงครีมบำรุงหรือโลชั่น โดยให้ทำเฉพาะก่อนเข้านอนและทำวันเว้นวัน (สตรีมีครรภ์ห้ามใช้เป็นอันขาด) ส่วนวันที่ไม่ได้ใช้ก็ให้ทาด้วยครีมบำรุงไปตามปกติ ให้พยายามทำดูนะครับสักประมาณ 1 เดือน มั่นใจได้เลยว่าผิวจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน แม้ในช่วงแรกที่ทามันอาจจะทำให้เกิดรอยแดงเป็นวง เป็นรอยดำไหม้ หรืออาจถลอกไปบ้าง เดี๋ยวสักพักมันก็จะค่อย ๆ หายไปเอง
    ยาทาผิวแตกลาย
  7. การรักษาด้วยทรีทเม้นท์ต่าง ๆ เช่น การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เพื่อช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นโดยการกำจัดเซลล์ชั้นบนออกไป หรือทำการผลัดเซลล์ด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peel) เพื่อช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป (ให้ผลการรักษาประมาณ 10-20%) รวมไปถึงการรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (ให้ผลการรักษาประมาณ 20-40%) เป็นต้น (ภาพก่อนและหลังการรักษาด้วย Microdermabrasion จากข้อมูลไม่ได้ระบุจำนวนครั้งและระยะเวลาในการรักษา)
    แก้ผิวแตกลาย
  8. เมโสรักษารอยแตกลาย‎ (Mesotherapy) เป็นวิธีการใช้เข็มส่งตัวยาที่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสมานรอยแตกลายของผิว จึงทำให้รอยแตกลายลดจางลง โดยใช้กลุ่มยาหลาย ๆ ตัว เช่น กรดอะมิโนไกลซีน (Glycine), วาลีน (Valine), โปรลีน (Proline), ไฮดรอกซิโปรลีน (Hydroxyproline) และสารอาหารผิวอื่น ๆ โดยปริมาณที่ฉีดก็แล้วแต่บริเวณที่ต้องการแก้ปัญหา ราคาทำต่อครั้งประมาณ 1,000-2,000 บาท สตรีมีครรภ์ไม่ควรทำ (ภาพก่อนและหลังการรักษาด้วยเทคนิคการฉีดเมโส ตามข้อมูลไม่ได้ระบุตัวยาที่ใช้ จำนวนครั้ง และระยะเวลาในการรักษา)
    วิธีรักษาผิวแตกลาย
  9. เดอร์มาโรลเลอร์ (Dermaroller) อีกหนึ่งเครื่องมือทางการแพทย์ที่ถูกนำมาใช้กลิ้งในบริเวณผิวที่ต้องการ เพื่อช่วยทำลายพังผืดที่หลุมบนผิวหรือรอยที่เป็นปัญหา ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง จึงช่วยรักษารอยแตกลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำเกิดผลข้างเคียงใด ๆ และโดยมากแล้วจะนำมาใช้ควบคู่ไปกับตัวยาหรือเซรั่มบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว จึงช่วยทำให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น แต่ต้องทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 2 สัปดาห์ ติดต่อกันประมาณ 5-6 ครั้ง จึงจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น (ภาพก่อนและหลังการรักษาด้วยเดอร์มาโรลเลอร์ ตามข้อมูลไม่ได้ระบุจำนวนครั้งและระยะเวลาที่ใช้รักษา)
    วิธีลดผิวแตกลาย
  10. เลเซอร์รอยแตกลาย การรักษาผิวแตกลายด้วยเลเซอร์นี้จะเหมาะกับสาว ๆ ใจร้อนที่อยากให้ปัญหานี้หายไปอย่างรวดเร็ว มีทั้งเลเซอร์แบบช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับสีรอยแตกลายให้ใกล้เคียงกับสีผิวปกติ เลเซอร์สร้างผิวใหม่ และเลเซอร์แบบรักษารอยแดงหรือรักษาความผิดปกติของเส้นเลือด ที่แนะนำคือ Fraxel Laser (ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับรอยแตกลายที่เป็นมานานแล้ว) และ V-Beam Laser (ช่วยทำลายเส้นเลือดในคนที่มีรอยแตกแดง เหมาะกับรอยแตกลายที่เพิ่งเกิดใหม่หรือมีสีชมพู) แต่การทำครั้งเดียวจะไม่เห็นผลอย่างชัดเจน แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง (ห่างกันครั้งละ 2 สัปดาห์) จนกว่ารอยแตกลายจะค่อย ๆ จางหายไป สามารถรักษาได้ทั้งรอยแตกลายในระยะแรกและระยะหลัง จากการศึกษาพบว่าการรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลประมาณ 40-60% แต่จะเหมาะกับผู้ที่มีงบทำสวยมากหน่อย เพราะราคาการทำเลเซอร์ก็ค่อนข้างแพงใช่เล่นเลยล่ะ (ภาพก่อนและหลังการรักษาด้วย Fraxel Laser)
    เลเซอร์ลบรอยแตกลาย
  11. การทำไอพีแอล (Intensed Pulsed Light – IPL) เป็นเทคนิคการใช้แสงความเข้มสูง นำมายิงบริเวณผิวที่เป็นรอยแตก ในขณะยิงจะรู้สึกเจ็บคล้าย ๆ กับโดนหนังสติ๊กดีดผิว แต่วิธีนี้จะได้ผลดีกับรอยแตกในระยะแรกที่มีสีแดง หากเป็นรอยแตกในระยะหลัง ๆ (รอยแตกสีขาวซีด) มักจะไม่ได้ผล และต้องอย่างน้อย 5 ครั้ง (ห่างกันครั้งละ 2 สัปดาห์) ค่าบริการครั้งละ 1,500-2,500 บาท ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่าวิธีนี้สามารถทำให้รอยแตกจางลงได้ประมาณ 30-50% โดยขึ้นอยู่กับระยะของรอยแตกที่เป็น (ภาพก่อนและหลังการรักษาจำนวน 5 ครั้ง)
    วิธีแก้ผิวแตกลาย
  12. ฉีดคาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy) เป็นวิธีแก้รอยแตกลายด้วยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น และยังช่วยสลายเซลล์ไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ต้องการได้อีกด้วย มันจึงถูกนำมาใช้เพื่อสลายไขมันส่วนเกินตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่ก็ยังสามารถนำมาใช้รักษาผิวแตกลายได้ด้วย โดยอาศัยเทคนิคการฉีดก๊าซที่แตกต่างกันซึ่งจะเป็นการฉีดตื้น ๆ เข้าไปเพียงชั้นหนังแท้ตามแนวร่องแตกลายผิวหนัง ไม่ได้ฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวเหมือนการฉีดสลายไขมัน แต่การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทำอย่างน้อย 3-5 ครั้ง ติดต่อกันทุก ๆ 1 สัปดาห์ ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลประมาณ 30-60% หรือไม่ได้ผลเลย มีค่าบริการครั้งละ 1,500-2,000 บาท (ภาพก่อนและหลังการรักษาจำนวน 8 ครั้ง รวมระยะเวลา 5 เดือน)
    รักษาผิวแตกลาย
สำหรับคนที่มีปัญหาผิวแตกลายอยู่ ก็ลองเลือกวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะกับตัวเองไปปรับใช้ดูนะครับ ส่วนใครที่ยังไม่เคยเจอปัญหานี้มาก่อนก็อย่าเพิ่งชะล่าและควรหันมาดูแลตัวเองให้ดี เพียงเท่านี้ผิวก็จะกลับมาสวยใสไร้รอยแตกลายแล้วล่ะ และที่สำคัญก็คือ สาว ๆ ทุกคนควรจะยอมรับให้ได้ว่า “การที่มีผิวหนังแตกลายนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไปที่ไม่ได้มีอาชีพโชว์เรือนร่าง เราจึงไม่จำเป็นต้องสูญเสียความมั่นใจไปทั้งหมดเพียงเพราะรอยแตกลายในที่ลับ” แต่ถ้าเราต้องอวดผิวบริเวณแบบกะทันหัน เราอาจใช้วิธีการทารองพื้นหรือแป้งทับบริเวณผิวที่แตกลายนั้นก็ได้ครับ 🙂